วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ปัญหาของ เเรม ซีพียู เมนบอร์ด
มีเสียงร้องหลังจากเปิดเครื่องและไม่มีภาพ มีสาเหตุดังนี้
1. เสียบ RAM ไม่แน่น
วิธีแก้ไข : ให้ลองเปิดฝาเครื่องแล้วขยับ RAM ให้แน่น
2. เกิดจากหน้าสัมผัสของ RAM ไม่สะอาด
วิธีแก้ไข : เปิดฝาเครื่องออกมาแล้วให้ลองขยับ RAM ให้แน่น ถ้ายังไม่หายให้ลองถอด RAM ออกมาทำความสะอาดหน้าสัมผัส โดยใช้ยางลบดินสอหรือน้ำยา
3. เกิดจากการเสียบ RAM ผิดแถว
วิธีแก้ไข : เมนบอร์ดบางรุ่นต้องเสียบ RAM ไล่จากแถวที่ 1 ขึ้นไป ให้ลองนำ RAM มาเสียบที่ Slot ที่ 1 และไล่ลงไปในกรณีที่มี RAM หลายแถว
4. RAM ที่ใส่ไปไม่ตรงกับชนิดที่เมนบอร์ดรับได้
วิธีแก้ไข : ตรวจสอบกับคู่มือเมนบอร์ดว่าเป็นชนิดที่ถูกต้องและขนาดที่ไม่เกินที่เมนบอร์ดกำหนดในแต่ละแถว ถ้าไม่ถูกให้นำ RAM ชนิดที่ถูกต้องมาใส่
5. เกิดจากความผิดผลาดของกระบวนการเช็คตอนเปิดเครื่อง ( POST) ของไบออส
วิธีแก้ไข:ในบางครั้งจะจดจำการติดตั้งฮาร์ดแวร์ในตำแหน่งต่างไว้และทำการตรวจเช็คทุกครั้งที่เปิดเครื่องดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือสลับตำแหน่งของสล็อตที่เสียบอุปกรณ์ต่างๆ เครื่องอาจจะเช็คว่าเกิดความผิดผลาดได้ โดยที่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีอุปกรณ์ใด ๆเสียเลยแต่เพราะเครื่องได้จดจำข้อมูลตำแหน่งของสล็อต ที่เสียบ ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ไว้ แต่ยังไม่ได้ทำการอัพเดทหรือ รีเฟรช (Refresh ) ทำให้เมื่อเปิดเครื่องแล้วถึงขั้นตอนการตรวจสอบ เครื่องจะฟ้องว่าฮาร์ดแวร์
ผิดผลาด วิธีแก้คือ ให้ลองสบับแถวของ RAM แล้วลองเปิดเครื่องใหม่ เพื่อให้เครื่องจดจำตำแหน่ง หรือ Reset ไบออส โดยการถอด ถ่านของไบออสบนเมนบอร์ดออกสักครู่หนึง แล้วกลับเข้าไปใหม่ จากนั้นลองเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง
6. RAM เสีย
วิธีแก้ไข : ให้ลองนำ RAM ตัวอื่นที่ใช้ได้มาเสียบแทนในช่องเดียวกัน ถ้าหากใช้ได้แสดงว่า RAM เสีย ถ้า RAM เสียก็ต้องซื้อมา เปลี่ยนสถานเดียว
เปิดเครื่องแล้ว แต่ Test Memory (RAM) ไม่ผ่านมีสาเหตุดังนี้
1. สล็อตเสียบ RAM เสียหรือเสียมคุณภาพ
วิธีแก้ไข : เป็นไปได้ที่เมื่อใช้ไปแล้ว สล็อตเสียบ RAM เสื่อมคุณภาพ ให้ลองย้าย RAM ไปใส่ในสล็อตอื่นแล้วลองบู๊ตเครื่องใหม่
2. RAM เสียหรือเสียมคุณภาพ
วิธีแก้ไข : ให้ลองนำ RAM ตัวอื่นที่ใช้ได้มาเสียบแทนในช่องเดียวกันถ้าผ่านแสดงว่า RAM เสีย ก็ต้องซื้อมาเปลี่ยนใหม่
ใช้แล้วเครื่องแฮงก์ง่ายมีสาเหตุดังนี้
1. อาจเกิดจากการตั้งค่าความถี่ที่ใช้กับ RAM ไม่ถูกต้อง
วิธีแก้ไข : ดูที่สเปค (Spec) ของ RAM สามารถทำงานที่ความถี่เท่าไร และให้ตั้งให้ถูกต้อง โดยเซ็ทที่ BIOS หรือเมนบอร์ด บางรุ่นต้องเซ็ทที่ Jumper บนเมนบอร์ด โดยสามารถดูรายละเอียดจากคู่มือของเมนบอร์ดนั้นๆ ได้
2. อาจเกิดจากการตั้งค่าการหน่วงเวลา (Wait state) ไม่ถูกต้อง
วิธีแก้ไข : กลับไปตั้งค่าให้ถูกต้องเหมือนเดิม หรือตั้งค่าเป็นแบบ by SPD จะสะดวกที่สุด
3. อาจเกิดจากการเลือกคุณสมบัติพิเศษ เช่น Fast page , EDO ไม่ถูกต้อง
วิธีแก้ไข : ควรศกษาคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ให้เข้าใจอย่างละเอียดก่อนที่จะเลือกใช้คุณสมบัตินั้น ๆ ถ้าไม่แน่ใจให้แก้กลับมาที่ Load Detault Setup หรือ Disable เพราะถ้าเลือกใช้คุณสมบัติพิเศษ โดยที่ RAM ตัวนั้นไม่รองรับ ก็จะทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงานได้
4. อาจเกิดจาก Clip RAM ร้อนเกินไป
วิธีแก้ไข : ในกรณีทีบางครั้ง RAM ทำงานหนักและเกิดอาการร้อนเกินไปจะทำให้เกิดการทำงานผิดพลาดได้ ดังนั้นถ้าต้องการเสถียรภาพ ในการทำงานมากขึ้น เราควรปรับปรุงระบบระบายความร้อนภายในเครื่องคอมพ์ให้ดีขึ้น เช่น เพิ่มพัดลมระบายความร้อนภายในเครื่อง วางคอมพ์ไว้ในที่ที่มี อากาศถ่ายเทได้สะดวกหรือห้องแอร์ก็จะยิ่งดี
5. อาจเกิดจาก RAM เสื่อม
วิธีแก้ไข : RAM บางตัวที่ใช้งานไปนาน ๆ Clip บางตัวบน RAM อาจเสื่อมได้โดยที่เครื่องยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อเครื่อง ได้ใช้งานมาถึงตำแหน่งที่เสื่อมบนแรมตัวนั้น จะทำให้เกิดการทำงานผิดพลาดได้ วิธีแก้คือ ลองถอด RAM ตัวที่คิดว่าเสื่อมออก และนำ RAM ตัวอื่นที่ดีมาใส่แทน และลองใช้งานดู ถ้าทำงานได้ตามปกติแสดงว่า RAM ตัวนั้นเสีย ให้ซื้อตัวใหม่มาเปลี่ยน หรือถ้าอยู่ในระยะประกันให้ลองเปลี่ยนตัวใหม่ แต่อาการแบบนี้ขอบอกว่าพิสูจน์ยากนิดนึง บางครั้งเราต้องรอจังหวะ
ขนาดของ RAM เมื่อใช้งานน้อยกว่าขนาดที่แท้จริงมีสาเหตุดังนี้
1. เสียบ RAM ที่มีขนาดเกินกว่าที่ช่องเสียบ RAM นั้นรับได้
วิธีแก้ไข : เมนบอร์ดบางตัวจะกำหนดขนาดของ RAM สูงสุดต่อแถวที่เสียบได้ในแต่ละช่องสล็อต ดังนั้นควรอ่านคู่มือของเมนบอร์ดดูก่อนว่าสล็อตใดเสียบ RAM ที่มีขนาดสูงสุดได้เท่าไร เช่น เมนบอร์ดบางรุ่น ช่องเสียบ RAM แถวที่ 1ใส่ RAM ได้สูงสุดไม่เกินแถวละ128 MB ถ้าเรานำ RAM ขนาด แถวละ 256 MB มาใส่เครื่องจะไม่สามารถรับได้หรือมองเห็นแค่เพียง 128 MB เท่านั้น
2. ขนาดของ RAM รวมทั้งหมดเกินกว่าที่เมนบอร์ดจะรับได้
วิธีแก้ไข : เมนบอร์ดทุกอันจะมีขนาดรวมของ RAM สูงสุดที่เมนบอร์ดรับได้ไม่ใช่ว่าจะสามารถซื้อ RAM มาใส่เท่าไรก็ได้ ควรอ่านคู่มือ ของเมนบอร์ดรุ่นนั้นด้วย
3. RAM บางส่วนถูกนำไปใช้ในด้านอื่น
วิธีแก้ไข : เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมนบอร์ดบางรุ่น ที่มีอุปกรณ์บางประเภท Onboard ซึ่งจะใช้หน่วยความจำร่วมกับ RAM ทำให้เมื่อเปิด ใช้งานเนื้อที่ของ RAM บางส่วนจะถูกจองไว้สำหรับใช้งานของอุปกรณ์ตัวนั้นโดยเฉพาะ จึงทำให้เวลาระบบปฏิบัติการแสดงผลขนาดของ RAM จะเหลือไม่เท่ากับ ขนาดที่แท้จริงของ RAM เช่น เมนบอร์ดบางรุ่นที่มี VGA Card Onboard และแจ้งว่ามี RAM ของ VGA Card ขนาด 16 MB แต่เมื่อใช้งานจะใช้เนื้อที่ของ RAM ที่เสียบลงไปบนเมนบอร์ด ดังนั้น ถ้าเราเสียบ RAM ขนาด 128 MB ลงไปบนเมนาบอร์ดจะเหลือ RAM ที่ใช้งานกับระบบจริงเพียง 128 MB คือ 112 MB
4. อาจเกิดจาก RAM เสื่อม
วิธีแก้ไข : เราสามารถดูตามอาการเสียของแรมที่ได้กล่าวมา ข้างต้น
RAM ที่มีความเร็วสูงแต่ทำงานที่ความเร็วต่ำ
1. เมนบอร์ดไม่สามารถรองรับ RAM ที่มีความเร็วสูงกว่าที่กำหนดได้
วิธีแก้ไข : ไม่สามารถแก้ได้ ถ้าต้องการให้ RAM ทำงานที่ความเร็วสูง ต้องซื้อเมนบอร์ดรุ่นที่รองรับได้ เช่น RAM ที่มีความเร็ว 133 MHz เมื่อนำมา ใส่เมนบอร์ดที่รองรับ RAM ที่มีความเร็วสูงสุดที่ 100 MHz RAM ตัวนั้นจะทำงานได้ที่ความเร็วแค่ 100 MHz
2. ไม่ได้ตั้งค่าที่ BIOS ให้ถูกต้อง
วิธีแก้ไข : ที่ BIOS จะมีเมนูสำหรับตั้งค่าความเร็วของ RAM ที่เราต้องการให้เราไปปรับค่าให้ถูกต้องหรือให้เลือกเป็น Auto
3. ไม่ได้เซ็ทค่าจั๊มเปอร์บนเมนบอร์ด
วิธีแก้ไข : เมนบอร์ดบางรุ่นจะมีการเซ็ทความถี่ของ RAM ที่จั๊มเปอร์บนเมนบอร์ดด้วย ให้ศึกษาด้วย ให้ศึกษาและเซ็ทตามคู่มือเมนบอร์ด
เมนบอร์ด (Mainboard)เป็นแผงวงจรหลักในคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นแผ่นเซอร์กิตPCB(PrintCircuitBoard)ใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์
อิเล็กโทรนิคต่างๆรวมทั้งซีพียู,หน่วยความจำหรือRAMและแคช(Cache)ซึ่งหน่วยความจำความเร็วสูงสำหรับพักข้อมูลระหว่างซีพียูและแรม
อุปกรณ์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งซึ่งอยู่บนเมนบอร์ดได้แก่ชิปเซ็ต (Chipset) ภายในประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ขนาดเล็กจำนวนหลายล้านตัวผลิตด้วย
เทคโนโลยีการทำงานระหว่างอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให ้เมนบอร์ดแต่ละยีห้อและแต่ละรุ่นมีคุณสมบัติต่างกันนอกจากนี้บนเมนบอร์ด
ยังมีช่องสำหรับเสียบการ์ดเพิ่มเติมที่เรียกว่า สล็อต(Slot)ซึ่งการ์ดจอ, การ์ดเสียง ฯลฯ ต่างก็เสียบอยู่บนสล็อต นอกจากนี้เมนบอร์ดในปัจจุบันยังได้
รวมเอาส่วนควบคุมการ ทำงานต่าง ๆ ไว้บนตัวเมนบอร์ดอีกด้วย ได้แก่ ส่วนควบคุมฮาร์ดดิสก์ (Harddisk Controller),พอร์ตอนุกรม (Serial Port)
พอร์ต ขนานหรือพอร์ตเครื่องพิมพ์ (Printer Port), พอร์ต PS/2,USB(Universal Serial Bus) รวมทั้ง Keyboard Controller
สำหรับอุปกรณ์ อื่นที่มีมาตั้งแต่เริ่มกำเนิดเมนบอร์ดได้แก่ ROM BIOS และ Real-Time Clock เป็นต้น ส่วนอาการเสียที่มักจะเกิดบ่อยที่ผู้ใช้ควร
รับรู้และสามารถแก้ไขได้ตัวอย่างเช่น
1.รู้ได้อย่างไรว่าเมนบอร์ดที่ใช้อยู่ รองรับอุปกรณ์ Onboard อะไรบ้าง
หากอยากรู้ว่าคอมพิวเตอร์หรือเมนบอร์ดที่ใช้อยู่มีอุปกรณ์ Onboard อะไรแถมมาด้วยก็ไม่ยาก โดยให้ดูที่ด้านท้ายเคสซึ่งจะมีพอร์ตสำหรับ
ต่อเมาส์ และคีย์บอร์ด ถ้าหากเมนบอร์ดมีอุปกรณ ์ Onboard อื่นให้มาด้วยก็จะมีพอร์ตสำหรับอุปกรณ์นั้นเช่น พอร์ต Modem, Lan, VGA, Sound คือถ้าพบมีพอร์ตดังกล่าวอยู่ท้ายเคสก็ให้เสียบใช้งานได้ทันที
2. การ์ดจอ Onboard เสียจะทำอย่างไร
ปัญหานี้จะแสดงอาการออกมาในลักษณะเปิดเครื่องได้เห็นไฟเข้าเครื่องทำงานปรกติต่หน้าจอจะไม่มีภาพอะไรเลยผู้ใช้หลายคนนึกว่าเมนบอร์ดเสีย
จึงไปหาซื้อเมนบอร์ดมาเปลี่ยนใหม่ทำให้สูญเสียเงินไปโดยใช่เหตุสาเหตุ เป็นเพราะระบบแสดงผลของชิปเซ็ตบนเมนบอร์ดเสีย ทำให้ไม่มีภาพปรากฏบน
หน้าจอวิธีแก้ ให้ทำการจัมเปอร์บนเมนบอร์ดเป็น Disable หรือกำหนดค่าในไบออสให้เป็น Disable ขึ้นอยู่กับรุ่นของเมนบอร์ด แล้วนำการ์ดจอมาติดตั้ง
ลงในสล็อต AGP แทน หากเป็นรุ่นที่ไม่มีสล็อต AGP ก็คงต้องหาซื้อการ์ด PCI มาติดตั้งแทน หรือส่งซ่อมที่ร้าน p.c.point ได้นะครับ
3. เมนบอร์ดมีการ์ดเสียง Onboard ไม่ทำงาน
ปัญหานี้มีลักษณะคล้ายกับปัญหาการ์ดจอ Onboard แต่ส่วนใหญ่การ์ดเสียง Onboardที่มีปัญหาใช้งานไม่ได้
สาเหตุ
1. ยังไม่ได้กำหนดให้ใช้งานวงจรเสียงได้จากไบออส
2. ยังไม่ติดตั้งไดรเวอร์สำหรับวงจรเสียงดังกล่าว
3. อาจเป็นส่วนของวงจรเสียงในชิปเซ็ตเสีย
วิธีแก้
1. กำหนดค่าในไบออสโดยเลือกหัวข้อ Integrated Peripherals
2. เลือกหัวข้อ Onboard Hardware Audio และกำหนดค่าเป็น Enabled
3. Save ค่าไว้และออกจากไบออสบู๊ตเครื่องใหม่
4. ใช้แผ่นไดรเวอร์เมนบอร์ดติดตั้งไดรเวอร์เสียงลงใน Windows
. หากติดตั้งแล้วใช้การไม่ได้แสดงว่าส่วนวงจรเสียงเสีย ให้ Disabled ยกเลิกการใช้งานในไบออส แล้วหาซื้อการ์ดเสียงมาติดตั้งใหม่
4. จะติดตั้งพอร์ต USB ของตัวเครื่องเข้ากับเมนบอร์ดได้อย่างไร ุ
เมนบอร์ดทั้วไปมักจะมีพอร์ต USB ติดตั้งมาให้จำนวน 2 พอร์ต โดยจะมีขั้วพอร์ต USB ให้อีก 1 ช่องสำหรับต่อพอร์ต USB ได้อีก 2 พอร์ต
ซึ่งพอร์ตต่อเพิ่มพอร์ต USB มักเป็น Options เสริมที่ต้องซื้อเพิ่มเอาเองแต่ในตัวเคสรุ่นใหม่ที่ด้านหน้าหรือด้านข้างมักจะมีพอร์ตเสริม USB มาให้อีก 2 พอร์ต
วิธีแก้ การติดตั้งพอร์ตเสริม USB ของตัวเคสจำนวน 2 พอร์ต เพื่อให้ใช้งานได้จะต้องนำสาย สัญญาณและสายจ่ายไฟจำนวน 8 เส้นมาเสียบต่อเข้ากับช่องต่อพอร์ต
USB บนเมนบอร์ด โดยจะต้องดูคู่มือเมนบอร์ดประกอบด้ยอย่าเสียบผิดสายเพระสาย USB จะมีไฟเลี้ยงอยู่ด้วย จะทำให้อุปกรณ์ต่อพ่วงเสียหายได้ สำหรับขั้นตอนการติดตั้งพอร์ต USB ตัวเครื่องเข้ากับเมนบอร์ดดังนี้
1. เปิดฝาเครื่องออกมาและหาตำแหน่งขั้วต่อพอร์ต USB บนเมนบอร์ด โดยที่ขา 1 จะมีเส้นทึบ สีขาวขีดคร่อมอยู่ 2.นำสายสัญญาณและสายจ่ายไฟพอร์ต USB จากเมนบอร์ดมาเรียงไว้ โดยสายจะมี 2 ชุด ๆ ละ 4 เส้น
3. นำสายทั้ง 2 ชุดเสียบเข้ากับขั้วต่อพอร์ต USB บนเมนบอร์ดโดยดูจากคู่มือเมนบอร์ดประกอบ กันด้วยอย่าสลับสายกันเป็นอันขาด
5. ใช้งานพอร์ต USB 2.0 ผ่านเครื่องพิมพ์ ไม่เห็นความเร็วเพิ่มขึ้น
สาเหตุ พอร์ต USB 2.0 เป็นพอร์ตมาตรฐานเพิ่งออกมาใหม่ รองรับความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลได้สูงถึง 480 Mbps หรือเร็วกว่าพอร์ต USB 1.1 ถึง 40 เท่าแต่ใช่ว่าเมื่อเมนบอร์ดรองรับพอร์ต USB 2.0 แล้วจะสามารถ ใช้งานได้เลย ต้องทำการติดตั้งไดรเวอร์ของ USB 2.0 ให้ถูกต้องเสียก่อน วิธีแก้ สำหรับวิธีการตรวจดูว่าคอมพิวเตอร์ของเรา ได้ติดตั้งและใช้ความสามารถของพอร์ต USB 2.0 แล้วหรือยังมีดังนี้
1. ใน Windows XP ให้คลิกปุ่ม Start>Control Panel>Switch to classic view 2. ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน system
3. คลิกแท็ป Hardware
4. คลิกปุ่ม Device Manager
5. คลิกเครื่องหมาย + หน้า Universal Serial Bus controllers จะพบว่ามีแต่ไดรเวอร์ของ USB 1.1 ติดตั้งไว้เท่านั้น สำหรับ USB 2.0 ยังไม่ได้ติดตั้ง (มีเครื่องหมายตกใจสีเหลืองหน้าตัว Universal Serial Bus (USB) Controller
6. ให้ติดตั้งไดรเวอร์ USB 2.0 โดยการคลิกเมาส์ขวาที่ตัว Universal Serial Bus (USB) Controller และเลือกUpdate Driver…
7. เมื่อปรากฏหน้าจอให้ Update Driver ให้ใส่แผ่นซีดีรอมไดรเวอร์ของเมนบอร์ดเข้าเครื่องและคลิกเลือกหัวข้อ Install the software automatically และดำเนินการตามขั้นตอนที่ปรากฏหน้าจอต่อไป
8. ในขั้นตอนที่ 6 หากต้องการติดตั้งไดรเวอร์ USB จากแผ่นไดรเวอร์เมนบอร์ดโดยตรงก็สามารถทำได้โดยใส่แผ่นไดรเวอร์เข้าไปในเครื่องเพื่อให้รันโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะปรากฏหน้าจอให้เลือกข้อ VIA USB 2.0 Driverและดำเนินการไปตามข้นตอนที่ปรากฏบนหน้าจอไปจนเสร็จสิ้น หลังจากนั้นจะบู๊ตเครื่องขึ้นมาใหม่
9. ให้เข้าไปตรวจสอบสถานะของไดรเวอร์ USB 2.0 ว่าได้รับการติดตั้งแล้วหรือไม่โดยเข้าไปที่ Control Panel ซึ่งจะพบว่ามีไดรเวอร์ของ USB 2.0 ได้รับการติดตั้งแล้วคือ USB 2.0 Root Hub และ VIA USB 2.0 Enchanced Host Controller เพียงเท่านี้เมื่อมีการใช้งานพอร์ต USB 2.0 เช่น สั่งพิมพ์งานเอกสารด้วยเครื่องพิมพ์งานเอกสารด้วยเครื่องพิมพ์ผ่านพอร์ต USB 2.0 งานพิมพ์แทบจะวิ่งออกมาทีเดียว
6. เปิดสวิทซ์แล้วเครื่องไม่ทำงานใด ๆ เลยไฟก็ไม่ติด ไม่มีเสียงร้อง
สาเหตุที่1ปลั๊กPower Supply หลวม วิธีแก้ ให้ลองขยับปลั๊ก Power Supply ทั้งทางด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์และที่เต้าเสียบให้แน่น - สาเหตุที่ 2 อาจเป็นที่ Power Supply เสีย วิธีแก้ ให้ลองตรวจเช็คว่ามีไฟฟ้าออกจาก Power Supply ถูกต้องหรือไม่วิธีสังเกต ถ้าเป็นสายไฟสีแดงจะมีค่า +5 Volt ถ้าเป็นสายสีเหลืองจะมีค่า +12 Volt หรืออาจสังเกตง่าย ๆ ขั้นต้นว่าเมื่อเปิดสวิทซ์นั้นพัดลมที่ติดอยู่กับ Power Supply หมุนหรือไม่ และเป็นไปได้ที่บางครั้ง Power Supply อาจจะเสียแต่พัดลมยังหมุนอยู่ เราอาจจะลองนำ Power Supply ตัวอื่นที่ไม่เสียมาลองเปลี่ยนดูก็ได้ ถ้าเสียก็ซื้ออันใหม่มาเปลี่ยน เอาแบบ
วัตต์สูง ๆ ก็จะดี - สาเหตุที่ 3 เป็นที่เมนบอร์ดเสีย วิธีแก้ ถ้า Power Supply ไม่เสียมีไฟเลี้ยงเข้าเมนบอร์ดตามปกติ ให้ลองเช็คโดยการถอดการ์ดต่าง ๆ และ RAM ออกหมด ถ้าเปิดเครื่องแล้วไม่มีเสียงร้องแสดงว่าเมนบอร์ดหรือ CPU เสีย แต่ถ้ามีเสียงร้องแสดงว่าอุปกรณ์บางตัวที่ถอดออกไปเสีย และถ้าหากเมนบอร์ดเสียให้ส่งที่ร้านซ่อมหรือซื้อเมนบอร์ดใหม่ - สาเหตุที่ 4 CPU หลวม วิธีแก้ ส่วนใหญ่เหตุการณ์นี้มักเกิดขึ้นกับซีพียูประเภทซ็อคเก็ตสล็อตวัน (Slot 1) และซ็อคเก็ตสล็อตทู (Slot 2) เช่น เพนเทียมทู เป็นต้น ให้เราปิดฝาเครื่องและลองขยับซีพียูที่ดูเหมือนแน่นอยู่แล้วให้แน่นขึ้นไปอีก - สาเหตุที่ 5 CPU เสีย วิธีแก้ ลองหา CPU ตัวใหม่มาลองเปลี่ยนแทน ถ้าใช้ได้ละก็แสดงว่าตัวเก่าเสียแน่นอน - สาเหตุที่ 6 เป็นที่อุปกรณ์บางตัวเสียทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร วิธีแก้ ให้ลองใส่ตรวจเช็คทีละตัว
7. เปิดเครื่องแล้วมีเสียงร้องแต่ไม่ยอมทำงานใด
- สาเหตุที่ 1 อุปกรณ์บางตัวที่ต่อกับเมนบอร์ดหลวม
วิธีแก้ ถ้าอุปกรณ์บางตัวที่ต่อกับเมนบอร์ดหลวม จะทำให้กระบวนการเช็คค่าเริ่มต้น (POST) ของ BIOS ฟ้องค่าผิดพลาด ให้เราเปรียบเทียบค่าสัญญาณ Beep Code จากคู่มือเมนบอร์ด
- สาเหตุที่ 2 อุปกรณ์บางตัวที่อยู่บนเมนบอร์ดต่อไม่ถูกต้อง
วิธีแก้ ส่วนใหญ่มักเกิดกับ RAM ปกติเมื่อเราเปิดเครื่องแล้วมีปัญหาไม่สามารถแสดงภาพออกทาง หน้าจอในตอนเริ่มต้นได้ Bios จะพยายามแจ้งอาการเสียผ่านทางเสียงร้องออกทางลำโพงที่อยูภาย ในเครื่องคอมพ์ ให้เราเปรียบเทียบค่าสัญญาณ Beep Code จากคู่มือเมนบอร์ด
- สาเหตุที่ 3 อุปกรณ์บางตัวที่ต่อกับเมนบอร์ดเสีย
วิธีแก้ ให้เราลองเปรียบเทียบค่าสัญญาณ Beep Code จากคู่มือเมนบอร์ดดู
- สาเหตุที่ 4 Chip บนเมนบอร์ดบางตัวเสีย
วิธีแก้ ให้ลองไปดูเครื่อง Beep Code และถ้าสาเหตุมาจาก Chip บนเมนบอร์ดให้ไปส่งร้านซ่อมเพื่อเปลี่ยน Chip
8. เครื่องทำงานพื้นฐานตามปกติได้แต่ไม่สามารถใช้อุปกรณ์บางตัวได้ โดยที่อุปกรณ์ตัวนั้นไม่ได้เสีย
- สาเหตุที่ 1 Chip บางตัวบนเมนบอร์ดเสีย
วิธีแก้ ให้ลองไปดูเรื่อง Beep code และถ้าสาเหตุมาจาก Chip บนเมนบอร์ดให้ไปส่งร้านซ่อมเพื่อเปลี่ยน Chip
- สาเหตุที่ 2 สล็อตหรือพอร์ตบางพอร์ตบนเมนบอร์ดเสีย
วิธีแก้ ลองเปลี่ยนการ์ดตัวนั้นไปเสียบสล็อตอื่นที่เหลือแทน แล้วลองทดสอบตามปกติ ถ้าเหมือนเดิมส่งร้านซ่อมหรือซื้อเมนบอร์ดใหม่
- สาเหตุที่ 3 เกิดการ Conflict กับอุปกรณ์ตัวอื่น
วิธีแก้ เข้าไปที่ Device Manager ให้สังเกตว่ามีเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) แสดงว่าที่อุปกรณ์ตัวนั้นมีปัญหา ได้ดับเบิ้ลคลิกที่อุปกรณ์ตัวนั้น เพื่อเข้าสู่ Properties จากนั้นลองแก้ไขค่า Resources ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ซ้ำกับอุปกรณ์ตัวอื่นครับ
- สาเหตุที่ 4 ไม่ได้ลงไดรเวอร์
วิธีแก้ ให้ทำการติดตั้งไดรเวอร์ลงไป โดยไดรเวอร์มักจะแถมมากับอุปกรณ์ตัวนั้น ๆ หรือถ้าหาไม่ได้ให้ลองดาวน์โหลดไดรเวอร ์จากเว็บไซต์ผู้ผลิตดู
- สาเหตุที่ 5 ลงไดรเวอร์ผิดรุ่น
วิธีแก้ ในบางครั้งที่ระบบปฏิบัติการจะตรวจสอบชนิดและรุ่นของอุปกรณ์ตัวนั้น ๆ โดยอัตโนมัติ ซึ่งมีความเป็นไปได ้ที่ผลของการตรวจสอบจะคลาดเคลื่อน ทางที่ดีควรตรวจเช็คให้แน่ว่ารุ่นของอุปกรณ์ตรงกับไดรเวอร์ที่ลงหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจให้ลงไดรเวอร ์จากแผ่นโปรแกรมที่มาพร้อมกับเครื่อง
9. คอมพิวเตอร์แฮงก์บ่อย ๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้
- สาเหตุที่ 1 อาจเกิดจากไวรัสคอมพิวเตอร์
วิธีแก้ ลองใช้โปรแกรม Antivirus เวอร์ชั่นอัพเดทตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ทั้งหมด
- สาเหตุที่ 2 คุณภาพเมนบอร์ดไม่ถึงมาตรฐาน
วิธีแก้ อาจเป็นเพราะคุณภาพของเมนบอร์ดไม่ถึงมาตรฐานของโรงงาน ซึ่งโดยมากมักเกิดกับเมนบอร์ดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ให้เอาไปเปลี่ยน
- สาเหตุที่ 3 ไฟล์ระบบปฏิบัติการชำรุด
วิธีแก้ ถ้ามั่นใจแล้วว่าไม่ได้เกิดจากไวรัสและสาเหตุอื่น ๆ ให้เรา Backup ข้อมูล ฟอร์แมต แล้วลงระบบปฏิบัติ การและโปรแกรมใหม่ทั้งหมด
10. เวลาบู๊ตเครื่องต้องกด F1 ทุกครั้ง
สาเหตุ พบความผิดพลาดขณะทำการตรวจสอบระบบเรียกว่า Post (Power On Self Test)
วิธีแก้ เมื่อขณะเปิดเครื่อง Bios จะทำการตรวจสอบระบบเรียกว่า Post (Power On Self Test) ถ้าพบผิดพลาดจะมีข้อความแจ้งให้ผู้ใช้ทราบและหยุดรอผู้ใช้กด F1เพื่อทำงานต่อ ซึ่งข้อผิดพลาดส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่เราตั้งค่าใน Bios ว่ามีอุปกรณ์บางอย่างอยู่ในเครื่องซึ่งไม่มีอยู่จริง เมื่อ Bios ว่ามีอุปกรณ์บางอย่างอยู่ในเครื่องซึ่งไม่มีอยู่จริง เมื่อ Bios ค้นหาอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วไม่พบอุปกรณ์ดังกล่าวจึงแจ้งความผิดพลาดให้เราทราบ ซึ่งเราอาจเข้าไปแก้ค่าต่าง ๆ ใน Biosให้ตรงกับความจริง ปัญหาที่ Bios ก็จะหายไปเอง หรือวงจร RTC มีปัญหาให้ส่งซ่อมที่ร้านได้ครับ
11. หลังจากที่เปิดเครื่องแล้วมีแต่เสียงปี๊บ ยาวๆ เกิดขึ้นและเครื่องก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้
วิธีแก้ ตามปกติเมื่อเปิดเครื่องแล้วคุณจะได้ยินเสียงดังปี๊บสั้นๆ หนึ่งครั้ง ซึ่งเสียงนี้สื่อให้คุณรู้ว่าระบบทุกอย่างอยู่ใน สภาพปกติ ไม่มีอะไรผิดพลาด ขึ้นกับอุปกรณ์ตัวหนึ่งตัวใดในเครื่องแล้ว ซึ่งกรณีนี้ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการลืมติดตั้ง การ์ดแสดงผล หน่วยความจำติดตั้งไม่แน่นหรือไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เสียงที่เกิดขึ้นนี้มีหลากหลายรูปแบบคุณจะ ต้องแยกให้ออก ว่าเสียงนั้นดังอย่างไร จากตัวอย่างเช่น สั้นสลับยาวหรือดังยาวๆ เพียงครั้งเดียว นอกจากนี้เมนบอร์ด ที่ใช้ไบออสต่างยี่ห้อกันเสียงที่เกิดขึ้นก็จะบ่งบอกสาเหตุของปัญหาที่แตกต่างกันไปอีกด้วย
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เเรม
SDRAM ( Synchronous Dynamic RAM ) ทรัพยากรและวิธีการต่าง ๆ มากมายกำลังเดินหน้าเข้าไปสู่การพัฒนา SDRAM และมันก็เริ่มปรากฏโฉมให้เห็นตามหน้าโฆษณาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ แล้ว และสำหรับเหตุผลสองประการของการเพิ่มความนิยมกันอย่างมากคือ ประการแรก SDRAM สามารถที่จะจัดการความเร็วของบัสได้ถึง 100 MHz ประการที่สอง SDRAM มีความสอดคล้องกับระบบนาฬิกาของตัวมันเอง ซึ่งความสามารถทางด้านเทคนิคนี้วิศวกรคอมพิวเตอร์ทั้งหลายยังรู้สึกได้ว่ามันเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจได้ แม้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ตาม นอกจากนั้นเทคโนโลยีของ SDRAM ยังให้เพจของหน่วยความจำเปิดได้ถึงสองเพจในเวลาเดียวกันอีกด้วย มาตรฐานใหม่สำหรับ SDRAM ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยองค์กรที่มีชื่อว่า SCIzzL ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยแซนตาคลารา ( รัฐแคลิฟอร์เนีย ) ซึ่งร่วมมือกับบริษัทอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าอีกหลายบริษัท โดยเราเรียกว่า SLDRAM เทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาพบ SDRAM โดยการรองรับความเร็วของบัสที่มากกว่าเดิมและการใช้แพ็กเกต ( แพ็กขนาดเล็กของข้อมูล ) เพื่อทำหน้าที่คอยดูแลความต้องการของแอดเดรส การคำนวณเวลา และคำสั่งที่ไปถึง DRAM ผลลัพธ์ที่ได้คือการอาศัยการปรับปรุงที่น้อยกว่าในการออกแบบชิปของ DRAM และรวมไปถึงราคาที่ต่ำกว่ามาก สำหรับหน่วยความจำประสิทธิภาพสูงเช่นนี้
DRAM |
Dynamic Random Access Memory หรือ DRAM หรือ ดีแรม คือ แรม (Random Access Memory; RAM) หรือ หน่วยความจำชนิดปกติสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีและเครื่องเวิร์คสเตชั่น (Workstation) หน่วยความจำคือเครือข่ายของประจุไฟฟ้าที่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เก็บข้อมูลในรูปของ "0" และ "1" ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ Random Access หรือ การเข้าถึงแบบสุ่ม หมายถึง โปรเซสเซอร์สามารถเข้าถึงทุกๆส่วนของหน่วยความจำหรือพื้นที่เก็บข้อมูลได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลที่ต้องการเรียงตามลำดับจากจุดเริ่มต้น DRAM คือไดนามิก ซึ่งตรงกันข้ามกับ SRAM หรือ สแตติกแรม (Static RAM); DRAM ต้องการการรีเฟรช (Refresh) เซลเก็บข้อมูล หรือการประจุไฟ (Charge) ในทุกๆช่วงมิลลิวินาที ในขณะที่ SRAM ไม่ต้องการการรีเฟรชเซลเก็บข้อมูล เนื่องจากมันทำงานบนทฤษฎีของการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 ทิศทาง ไม่เหมือนกับเซลเก็บข้อมูลซึ่งเป็นเพียงตัวเก็บประจุไฟฟ้าเท่านั้น โดยทั่วไป SRAM มักจะถูกใช้เป็นหน่วยความจำแคช (Cache Memory) ซึ่งโปรเซสเซอร์สามารถเข้าถึงได้เร็วกว่า DRAM จะเก็บทุกๆบิตในเซลเก็บข้อมูล ซึ่งประกอบขึ้นด้วยกลุ่มตัวเก็บประจุ (คาปาซิเตอร์; Capacitor) และทรานซิสเตอร์ (Transistor) คาปาซิเตอร์จะสูญเสียประจุไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว และนั่นเป็นเห็นเหตุผลว่า ทำไม DRAM จึงต้องการการรีชาร์ต ปัจจุบัน มีแรมมากมายหลากหลายชนิดในท้องตลาด เช่น EDO RAM, SDRAM และ DDR SDRAM เป็นต้น |
DDR-RAM (ดีดีอาร์ แรม) หรือ DDR SDRAM ย่อมาจากคำว่า "Double Data Rate SDRAM" คือ หน่วยความที่ใช้เก็บข้อมูลชั่วคราว (Ram) ที่ได้รับการพัฒนา และ ยึดถือหลักการทำงานตามปกติของหน่วยความจำแบบ SD-RAM จึงทำให้ทำงานได้เหมือนกัน SD-RAM แทบทุกอย่าง แตกต่างกันตรงที่ DDR-RAM สามารถทำงานที่ความเร็วสูงกว่า 200MHz (เมกะเฮิร์ตซ) ขึ้นไปได้ และมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คือ รับส่งข้อมูลได้ทั้งทั้งขาขึ้นและขาลงของสัญญาณนาฬิกา เทียบกับSD-RAM ปกติที่จะรับส่งข้อมูลเฉพาะขาขึ้นของสัญญาณนาฬิกาเพียงด้านเดียวคะ แรมชนิดนี้สังเกตุได้จากมีจำนวนขาสัญญาณ(Pins) 184 ขา และเขี้ยวที่ด้านสัมผัสทองแดงมีอยู่ที่เดียว แตกต่างจาก SD-RAM ที่มีอยู่ 2 ที่
หน่วยความจำ DDR2 เทียบกับ DDR
หน่วยความจำ DDR2 มีขนาดทางกายภาพเท่ากับ DDR แต่มีการกำหนดจำนวนขาแตกต่างกัน
ตารางด้านล่างนี้เปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างหน่วยความจำ DDR และ DDR2:
DDR2 | DDR | |
DIMMไม่มีที่พักข้อมูล | 240 ขา 1.8 โวลต์ | 184 ขา 2.5 โวลต์ |
DIMM ลงทะเบียน | 240 ขา 1.8 โวลต์ | 184 ขา 2.5 โวลต์ |
SO-DIMMs | 200 ขา 1.8 โวลต์ | 200 ขา 2.5 โวลต์ |
DIMM ลงทะเบียนขนาดเล็ก | 244 ขา 1.8 โวลต์ | — |
MicroDIMMS | 214 ขา 1.8 โวลต์ | 172 ขา 2.5 โวลต์ |
เนื่องจากมีการกำหนดแรงดันไฟฟ้า และจำนวนขาที่แตกต่างกัน หน่วยความจำDDR2 จึงมี 'คีย์' หรือร่องที่ขั้วต่อแตกต่างไป เพื่อป้องกันไม่ให้เสียบลงช่องที่ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ หน่วยความจำ DDR2 จะใส่ได้เฉพาะกับระบบ และเมนบอร์ด ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อรองรับหน่วยความจำ DDR2 เท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์(Super computer)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสามารถประมวลผลได้เร็วที่สุด ซึ่งส่วนมากแล้วจะผลิตมาใช้กับงานโดยเฉพาะด้านเท่านั้น เช่น งานวิทยาศาสตร์ที่ยุ่งยากซับซ้อน และต้องมีการคำนวณมาก งานออกเเบบเตรื่องบิน งานวิจัยทางด้านนิวเคลียร์ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้จะมีราคาค่อนข้างแพงมาก ดั้งนั้นจึงมีใช้ไม่แพร่หลายมากนัก
สุดยอดความเร็วซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในการทำงานมากที่สุดในโลก เขาจะเรียกว่า ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือ Supercomputer ความเร็วของเครื่องซุปเปอร์คอมพิว เตอร์นั้นมักมีการเปรียบเทียบจัดอันดับกันอยู่เรื่อย ๆ ว่าเครื่องไหนในโลกเร็วกว่ากัน และในปีนี้ทางสหรัฐ อเมริกา ก็โอ่ว่าแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งญี่ปุ่นเป็นแชมป์ เดิมอยู่
พูดถึงเรื่อง ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ และความ เร็วนั้นก็คงจะต้องมาทำความเข้าใจทั้งสองเรื่องก่อนให้ตรงกันคือ
ประการแรกซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ คืออะไร ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในความหมายของตัวเองนั้น ก็ชัดเจนอยู่แล้ว คำว่าซุปเปอร์ก็เหมือนกับสุดยอดเพราะฉะนั้น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ก็คือสุดยอดของคอมพิวเตอร์ นั่นเอง ก็เหมือนยอดมนุษย์เค้าก็เรียกซุปเปอร์แมนนั่นแหละ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์นั้นก็จะสามารถประมวลผล คำสั่งได้สูงสุดนั่นแหละ ที่ต้องใช้ความเร็วมากขนาดนั้นเพราะจะต้องประมวลผลคำสั่งทีละจำนวนมาก ๆ ด้วยความเร็วสูง และรอไม่ได้ และต้องรู้ผลลัพธ์ทันที เช่นการพยากรณ์อากาศ ซึ่งจะต้องรู้ผลลัพธ์ล่วงหน้าก่อนความเสียหายจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ ในด้านการแพทย์เรื่องการวิเคราะห์โรค การสังเคราะห์ยีน การทำดาต้าไมนิ่ง
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์มีลักษณะการทำงานแบบ ประมวลผล คู่ขนานซึ่งปัจจุบันมี 2 แบบคือ แบบ เอส เอ็มพี (SMP) และแบบเอ็มเอ็มพี (MMP) ทั้งสองต่างกันตรงที่ เอสเอ็มพีจะใช้หน่วยความจำร่วมกัน แต่กรณีของเอ็มเอ็มพีจะมีหน่วยความจำของตนเองสำหรับการทำงานประมวลผล
และบริษัทที่สามารถสร้างเครื่องซุปเปอร์คอม พิวเตอร์ได้จนมีชื่อเสียงในโลกขณะนี้ ก็จะรู้จักกันในนามของเครย์ (Cray) ซึ่งสร้างไว้สำหรับการพยากรณ์อากาศโดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ในรุ่นหลัง ๆ นั้นก็มีจะสร้างที่สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น และก็มักจะใช้ในด้านการพยากรณ์อากาศ
ประการที่สองคือความเร็วของคอมพิวเตอร์ เขาวัดความเร็วของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ด้วยความเร็วที่ เรียกว่า ทีราฟลอพ teraflop ซึ่งมีความหมายว่าสามารถทำงานได้เร็วด้วยความสามารถประมวลผลคำสั่งได้เป็น 1012 คำสั่งต่อวินาที หรือเอา 10 คูณกัน 12 ครั้ง ก็คือ 1,000,000,000,000 หรือหนึ่งล้านล้านคำสั่งต่อวินาที
เดิมทีนั้นที่ประเทศญี่ปุ่นสร้างเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ สำหรับการพยากรณ์แบบจำลองของโลก เช่น แผ่นดินไหว โดยบริษัทเอ็นอีซี (NEC) ซึ่งมีความ เร็ว 35.86 ทีราฟลอพ หรือ 35.86 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีถือว่าเร็วมากที่สุดในโลกเมื่อก่อน
ในปัจจุบัน กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่า มีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ คือ รุ่น บลูยีนแอล หรือ Blue Gene/L ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ถึง 70.72 ทีราฟลอพ หรือสามารถทำได้ถึง 70.72 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที และซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ชุดนี้ก็จะเป็นของบริษัทไอบีเอ็ม หรือยักษ์สีฟ้านั่นเอง
ทางรองประธานกรรมการบริษัทอาวุโสของบริษัท ไอบีเอ็มก็ยังประกาศว่า ในอนาคตคือประมาณปี 2006 ทางบริษัทจะสามารถทำให้ซุปเปอร์มีความเร็วได้ถึง 1,000 ทีราฟลอพ หรือที่ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า พีทาฟลอพ (Petaflop) หรือ 10 คูณกัน 15 ครั้ง หรือ 1015 หรือ 1,000,000,000,000,000 คำสั่งต่อวินาที เร็วขนาดไหนใช้จินตนาการดูเอาเองก็แล้วกัน แต่รับรองว่าพีซีทีที่เราใช้กันทุกวันไม่ต้องไปเทียบเคียงให้เสียเวลา
ที่เขียนมาเรื่องนี้ ก็ยังน่าเสียดายว่า ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่กรมอุตุนิยมวิทยาของไทย สมัยผมเป็น ส.ส. เคยอภิปรายเรื่องนี้ให้ผู้บริหารเท่าไร ก็ไม่ยอมรับรู้ ปัจจุบันเป็นอย่างไรก็คงปรากฏชัดเจน ถ้าหากฟังตั้งแต่ สมัยนั้นป่านนี้เราก็คงจะได้ระบบพยากรณ์อากาศชั้นดีสำหรับประชาชนทั้งประเทศไปแล้ว หรือว่าในอนาคตคงจะเกิดสิ่งดี ๆ ในกรมอุตุนิยมวิทยาก็แล้วกันครับ.
ราคาของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
นางสาวกาญจนา จอมศรี เลขที่ 1
นางสาวขวัญฤทัย เจริญผล เลขที่ 2
นางสาวจริยา รัดถา เลขที่ 3
นางสาวจิดาภา เชื้อสาวัตถี เลขที่ 4
นางสาวจิรภรณ์ เเสงเขียว เลขที่ 5
นายสุมนัส กองศรีผิง เลขที่ 38
- http://www.itmelody.com/free_tip/AR_ViewItem.php?id=192
วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
คีบอร์ด (Keyboard)
2.ส่วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit)
เครื่องวาด
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553
โปรแกรม lock Folder v.6.4.2
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ภาษาที่อยากเรียน
ภาษาทางคอมพิวเตอร์
ข้อดี 1.ภาษา C ใช้ได้ในไมโครคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ขนาด 8 บิต 16 บิต 3
2 บิต มินิคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรม มีการพัฒนาการใช้งาน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน ไม่ขึ้นกับโปรแกรมจัดระบบงาน หรือ อุปกรณ์
ทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฮาร์ดแวร์) 2.ภาษา C มีหลายรุ่น มีผู้ผลิตต่างบริษัท แต่มีโครงสร้างคล้ายกัน และสามารถใช้ร่วมกันได้
3.ภาษา C มีความอ่อนตัว สามารถเจาะลงระดับลึกให้เข้ากับฮาร์ดแวร์ ทำงานได้รวดเร็ว และที่สำคัญ ภาษา C เป็นคอมไพเลอร์
4.ภาษา C เป็นภาษาที่มีโครงสร้าง
ข้อเสีย ภาษา C มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง บ่อยครั้งที่พบคุณลักษณะเดียวกัน อาจให้ทั้งผลดีและผลเสียสำหรับตัวอย่าง ความมีอิสระของนิพจน์ที่ต้องการเพิ่มความสามารถในการตอบสนอง การใช้พอยเตอร์ (Pointer) ของภาษา C ค่อนข้างยุ่งยากและทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ความอิสระและความยืดหยุ่นในการใช้งาน ทำให้ต้องระมัดระวังในการเขียนโค้ดประยุกต์การใช้งานต่างๆ
แหล่งข้อมูล : http://c-mode.atspace.com/index3.htm
ภาษาจาวา JAVA
ข้อดี โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษาจาวา สามารถทำงานได้โดยไม่ยึดติดกับ Platform ใดๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ คุณสมบัติดังกล่าวทำให้มีความสะดวกเป็นอย่างมากในการใช้งาน นอกจากนั้นโปรแกรมที่เขียนขึ้นยังมีขนาดเล็กทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
ข้อเสีย ของภาษาจาวาก็คือถึงแม้ว่าการทำงานของโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวานั้นจะสามารถใช้ได้กับทุกระบบปฏิบัติการ แต่เนื่องจากมีการทำงานแบบ Client/Server ดังนั้นการเรียกใช้งานจากคนละระบบปฏิบัติการจะค่อนข้างช้ากว่าการเรียกใช้งานจากระบบปฏิบัติการแบบเดียวกัน
แหล่งข้อมูล : http://www.vcharkarn.com/varticle/18065
ภาษา P.H.P
ข้อดี - ความปลอดภัยอยู่ในระดับดี ถึงสูง พวกธนาคารหลายๆที่จึงเลือกใช้ สำหรับงานระดับลึกๆ หมายถึงข้อผิดพลาดของ bug ต่างๆ นะ
- เมื่ออยู่บน linux,unix,solaris มันทำทำงานได้เร็วกว่า windows ประมาณเท่าตัว
- รูปแบบการเขียน ยืดหยุ่นมาก เขียนได้ทั้ง แบบ เก่า ตือ HTML +code หน้าเดียว หรือแบบใหม่ HTML แยกกันกับ Code ,OOP
- สามารถเขียนได้ ทั้ง win app (ยากฉิบหาย),batch script ,web app ,ล่าสุดมีคนพยายามทำให้มันเป็นเหมือน java นั่นคือ เอา
php code ไปรันบน platform ไหนก็ได้
- มี framework ช่วยพัฒนาเยอะมาก- อะไรที่ .net หรือ java มี เดี๋ยว php ก็มี ตาม (บางอย่าง .net ,java ก็มาลอก php ไป)
เจ๊ากัน
- เป็นที่นิยมในสถาบันการศึกษา เพราะฟรี
ข้อเสีย- ขาด IDE ที่เป็นมาตรฐานกลางทำให้คนเขียน ต้องไป ขุดหาโปรแกรมที่ใช้ในการพัฒนาเอาเอง
- บางทีออก version ใหม่บ่อยเกินไป
- การเขียนบางที ต้อง include เยอะแยะไปหมด
- ไม่มี บ. software ใหญ่ๆ เป็นป๋าดันให้ เลยไม่ดังเปรี้ยง แต่ค่อยๆดังเพราะทำความดี สะสม
- การเขียนติดต่อระดับ component หรือ COM+ ของ windows อาจต้อง config ยุ่งยากหน่อย (ไม่เคยเขียน)
- ใช้ IE เปิด web php.net ใน เครือข่าย kku แล้ว download php ยากมาก
แหล่งข้อมูล : http://202.28.94.55/comsc/webboard/index.php?topic=549.0
ความเเตกต่างระหว่าง ภาษา C# . net และ ภาษา VB . net
ภาษา C# . net
- รองรับ XML documentation คล้ายๆ javadoc คือเอาคอมเม้นต์ในโค้ดมาแปลงเป็นเอกสาร technical manual ได้เลย แต่ใน VB.Net เวอร์ชั่น 2005 (Whidbey) ก็จะรองรับในคุณสมบัตินี้ด้วย
- สามารถทำ operator overloading ได้ (VB.Net 2005 ก็จะทำได้เช่นกัน)
- รองรับ unsigned datatype (VB.Net 2005 ก็จะทำได้เช่นกัน)
- มีประโยค using เพื่อใช้จัดการกับ resource ที่เป็นแบบ unmanaged- รองรับ unsafe code
สังเกตได้ว่า อะไรที่ใน C# มี ซึ่งเป็นสิ่งที่ซับซ้อนใน VB.Net เวอร์ชันถัดไป ก็จะมีด้วย แต่มักจะถูกนำมาแสดงในรูปแบบที่ง่ายต่อความเข้าใจ แต่อะไรที่ VB.Net มี มักจะไม่ถูกนำไปเพิ่มให้กับ C# เช่นรูปแบบการสร้าง event ที่เรียบง่าย อย่างประโยค Handlesหรือคีย์เวิร์ด My ที่จะมีใน VB.Net Whidbey (คิดว่าใน C# อาจจะไม่มี) หรือ Optional argument(ใน C# แก้ปัญหานี้ด้วยการทำ overloading แต่ก็จะไม่สามารถใช้งานร่วมกับ ActiveX component แบบเดิมได้อยู่ดี)
ถ้าขนาดของโปรเจ็กต์ที่คุณคิดว่าจะต้องทำในอนาคตใหญ่มากๆ ก็ควรจะเลือก C# ไปเสียแต่แรกเลย เว้นแต่จะมีวิธีแก้ปัญหาIDE ที่ช้ามากๆ เมื่อมีไฟล์จำนวนมากของ VB.Net ได้
ภาษา VB . net
- รองรับ Optional argument ซึ่งสำคัญมากที่คุณต้องการใช้งานร่วมกับ ActiveX component หรือการเขียนโค้ดชนกับพวก Office
- ทำตัวไม่ซีเรียสได้ คือยอมรับการทำ late-binding ได้ถ้าไม่กำหนด Option Strict On การเขียนโค้ดพวกนี้ใช้กับพวก ActiveX อีกนั่นเอง (ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเขียนโค้ดแบบ late-binding ใน .Net)
- รองรับการทำ named indexer (การสร้าง property ที่มี argument)
- มีคำสั่ง VB แบบเดิมๆ เช่น Left, Mid, UCase, … ให้ใช้ง่ายๆ สำหรับ ผู้ใช้ VB6 มาก่อน (การเรียกใช้ฟังก์ชันแบบเดิมๆ นี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพของโปรแกรม)
- มีประโยค With..End With ให้ใช้- ความเรียบง่าย เช่นการสร้างประโยค Event
- สามารถกำหนดชื่อเมธอดของการ implements interface ที่ต่างจากที่กำหนดไว้ใน interface ได้ (ผมว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์เลย ทำให้ยุ่งยากในการค้นหาเสียมากกว่า)
- มีประโยค Catch…When… ทำให้สามารถทำการ filter exception ด้วยเงื่อนไขได้ นอกเหนือจากการ filter ด้วยชนิดของ exception เท่านั้น
- Visual Studio .Net จะทำการ compile โค้ดในลักษณะ background ซึ่งช่วยเป็นข้อดีในโปรเจ็กต์ขนาดเล็ก แต่ถ้าโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่มหึมาจะกลับเป็นข้อเสียอย่างมาก (มีฝรั่งหลายคนบ่นว่าต้องถึงกับต้องยอมเปลี่ยนจาก VB.Net มาเป็น C# เลย ในโปรเจ็กต์ที่มีไฟล์มีคลาสเป็นพันๆ)
แหล่งข้อมูล : http://kaow-oat.spaces.live.com/blog/cns!3FF3C36A89EF38F9!1741.entry
ความแตกต่างระหว่างภาษา c เเละ ภาษาc++
ภาษา C เป็นต้นรากฐานของเหล่า C++ C# และตระกูล C อื่นๆทั้งหลายในแง่ของหลักการใช้แล้ว C กับ C++ จะแตกต่างกันภาษา C จะเขียนโปรแกรมในเชิง ลำดับขั้น ซึ่งเป็นรูปแบบธรรมดาๆ เป็นภาษาที่ใช้สอนกันง่าย เรียกได้ว่า เป็นภาษาพื้นฐานของทุกภาษาเลยทีเดียว
ภาษา C++ จะเป็นการเขียนเชิงวัตถุ(OOP: Object Oriented Programming) คือ มองทุกอย่างเป็น วัตถุ เสียหมด ซึ่งทำ
ภาษา C++ ก็คือภาษา C ดีๆ นี้ละเพียงแต่ว่ามันจะมีความยืดหยุ่นบางอย่างที่เก่งกว่า C และมีคลาสให้เราใช้งาน สามารถพัฒนาโปรแกรมในลักษณะ OOP หรือเชิงวัตถุ ภาษา C++ เป็นพื้นฐานของการสร้างชุดคำสั่ง Component ต่างๆ และยังเป็นพื้นฐานเพื่อการพัฒนาโปรแกรมบน Windows
แหล่งข้อมูล : http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=619aa796a2fcb5a1
ความเเตกต่างระหว่าง as2 และ as3
1. มันเขียนโค้ดลงบนวัตถุไม่ได้ (เช่น เขียนโค้ดลงบนปุ่ม) ต้องเขียนบนเฟรม หรือไฟล์ as เท่านั้น
2. ทุกอย่างทำงานเป็น Event และมี Listener อย่างชัดเจน อธิบายคร่าวๆ คือ.. มี "ยาม" มานั่งเฝ้า "เหตุการณ์" ที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น "ยาม" นั่งเฝ้าตึกอยู่ หากมี "โจรปีนตึก" ยามจะต้องทำอะไรบ้าง!!! เราก็กำหนดไป
3. คำสั่งใน AS2 บางส่วนตัดทิ้งไป และใช้งานคนละแบบกันใน AS3 เลย อย่างเช่น gotoAndPlay ปกติแล้ว AS2 เราจะใส่ชื่อ Scene ก่อนแล้วตามด้วยเฟรม แบบนี้
1.gotoAndPlay("Scene 1", 1);
แต่ AS3 จะต้องใส่ เฟรม ก่อนชื่อ Scene (ระวังให้ดี)
1.gotoAndPlay(1, "Scene 1");
แต่เหตุที่ต้องเปลี่ยน เพราะอะไร? ไว้ผมจะอธิบาย ใน "ยาม" ที่เราเข้าถึงเหตุการณ์ "เรียน OOP"
ภาษาjava script
ข้อดี · ความเร็ว . เป็นฝั่งไคลเอ็นต์, JavaScript มีความรวดเร็วเพราะมีฟังก์ชัน code สามารถทำงานทันทีแทนที่จะต้องติดต่อเซิร์ฟเวอร์และรอคำ
ตอบ
· Simplicity. JavaScript is relatively simple to learn and implement. เรียบง่าย . JavaScript ค่อน
ข้างง่ายที่จะเรียนรู้และใช้
· Versatility. JavaScript plays nicely with other languages and can be used in a huge variety of applications. เก่งกาจ . JavaScript เล่นอย่างกับภาษาอื่น ๆ และสามารถใช้ในมากมายของการใช้งาน Unlike PHP or SSI scripts, JavaScript can be inserted into any web page regardless of the file extension. ต่างจาก PHP หรือสคริปต์ SSI, JavaScript สามารถแทรกลงในหน้าเว็บใด ๆ ไม่ว่านามสกุล JavaScript can also be used inside scripts written in other languages such as Perl and PHP. JavaScript สามารถใช้ในการเขียนสคริปต์ในภาษาอื่น ๆ เช่น Perl และ PHP
· Server Load. Being client-side reduces the demand on the website server. Load Server . เป็นฝั่งไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์ลดความต้องการในเว็บไซต์
ข้อเสีย · Security . เนื่องจากรหัสรันบน'ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในบางกรณีก็สามารถใช้ประโยชน์เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นอันตราย This is one reason some people choose to disable JavaScript. นี่คือเหตุผลหนึ่งที่บางคนเลือกที่จะปิดการใช้งาน JavaScript
· Reliance on End User. JavaScript is sometimes interpreted differently by different browsers. พึ่งพา End User . JavaScript ถูกแปลบางครั้งแตกต่างจากเบราว์เซอร์ที่แตกต่างกัน Whereas server-side scripts will always produce the same output, client-side scripts can be a little unpredictable. ส่วนสคริปต์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์มักจะผลิตออกเดียวกันสคริปต์ฝั่งไคลเอ็นต์สามารถคาดการณ์เล็กน้อย Don't be overly concerned by this though - as long as you test your script in all the major browsers you should be safe. ไม่ต้องกังวลจนเกินไปโดยนี้แม้ว่า -- ตราบเท่าที่คุณทดสอบ script ของคุณในทุกเบราว์เซอร์ที่สำคัญคุณควรจะปลอดภัย
แหล่งข้อมูล : www.mediacollege.com/internet/javascript/pros-cons.html
ภาษา ปาสคาล
ข้อดี •ทำงานได้เร็ว
•ตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมซอร์ดโค้ดในขั้นตอนของการคอมไพล์
ข้อเสีย มีอยู่เรื่องเดียว คือ เรื่อง ชุด String ครับ เวลาเขียนโปรแกรม ที่ต้องสั่งการกับระบบ ปฎิบัติการ มันต้องระมัดระวังหน่อยครับเพราะ ระบบปฎิบัติการ มันเขียนด้วย C ชึ่ง String ของ C มัน Start ที่ตำแหน่ง Array 0 แต่ String ของ Pascal มัน Start ที Array ที่ 1 แต่มันก็ไม่ยุ่งยากเกินไปที่จะแก้ปัญหาครับเราหลีกเลี่ยงวิธีการต่างๆ เหล่านี้ได้
เเหล่งข้อมูล : http://irrigation.rid.go.th/rid15/ppn/Knowledge/Database/database2.htm
ภาษา VB
ข้อดี ใช้งานง่ายเพราะเป็นการเขียนแบบ visual programming มีโครงสร้างภาษามาจากภาษา basic เรียนรู้ได้ง่าย สามารถติดต่อกับ API ของวินโดว์ได้
ข้อเสีย ไม่รองรับการทำงานสถาปัตยกรรม .net framework เขียนโปรแกรมเชิงวัตถุไม่ได้ ทำให้จะพัฒนาแอฟต่อไปจะต้องเขียนใหม่หมด ไม่สามารถใช้หลักการ reuse และอีกหลายอย่างใน ทฤษฎีเชิงวัตถุได้ ส่วนข้อเสียเล็กๆน้อยก็มีอีกเยอะ เพราะตัวนี้มันเก่าแล้ว แต่ถ้าเขียนโปรแกรมเก่ง vb 6.0 ก็ยังทำอะไรได้อีกหลายอย่าง
แหล่งข้อมูล : http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4de5b15c179787ef
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
แบบฝึกหัดบทที่ 2
1.ข้อใดอธิบายความหมายของผังงานถูกต้อง
ตอบ ข.อธิบายลำดับขั้นตอนในลักษณะรูปภาพ
2.ข้อใดคือความหมายของคำว่า"Algorithm"
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
3.ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากผังงาน
ตอบ ง.ถูกทุกข้อ
4.สัญลักษณ์ข้อใดใช้เชื่อมต่อในหน้าเดียวกัน
ตอบ ค.
5.สัญลักษณ์ข้อใดเป็นการแสดงข้อมุลออกทางจอภาพ
ตอบ ข.
6.สัญลักษณ์ข้อใดมีได้เพียงสัญลักษณ์เดียวเท่านั้นในผังงาน
ตอบ ง.ถูกทั้งข้อ ก. เเละ ข.
7.ข้อใดต่อไปนี้ ใช้สัญลักษณ์ ใช้สัญลักษณ์ที่ ไม่ ถูกต้อง
ตอบ ค.
8.คำอธิบาย Read Write เเละ Output ใช้กับสัญลักษณ์ข้อใด
ตอบ ง.
9.ข้อใดเขียนค่า X มากกว่า Y จริงหรือไม่ สัญลักษณ์ข้อใดถูกต้อง
ตอบ ค.
10.ทิศทางของลำดับขั้นตอนการทำงานในผังงานนิยมเขียนอย่างไร
ตอบ ค.บนลงล่าง
11.สัญลักษณ์การตัดสินใจมีทิศทางการไหลออกได้กี่ทิศทาง
ตอบ ก. 2 ทิศทาง
12.สัญลักษณ์ในข้อใดมีเฉพาะทืศทางออกเท่านั้น
ตอบ ง.ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.
13.สัญลักษณ์ข้อใดแสดงค่าตัวแปร ANS ออกทางเครื่องพิมพ์
ตอบ ง.
14.สัญลักษณ์ข้อใดรับค่าจากแป้นพิมพ์เก็บไว้ในตัวแปร N
ตอบ ง.
15.ข้อใดคือสัญลักษณ์การควบคุมด้วยมือ
ตอบ ก.
แบบฝึกหัดบทที่ 2
1.จงอธิบายความหมายของผังงานหรือโฟลว์ชาร์ต
ตอบ คือการใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ที่เป็นสากล เเละอธิบาย เพื่อเเสดงอัลกอริทึมของการทำงาน
2.จงบอกประโยชน์ของผังงาน
ตอบ 1.ทำให้เข้าใจและแยกแยะปัญหาต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
2.ผู้เขียนโปรแกรมสามารถมองเห็นลำดับขั้นวิธีการทำงานได้ชัดเจน
3.สามารถหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้ง่าย
4.ทำให้ผู้อื่นเข้าใจการทำงานได้ง่ายกว่าการดูจากซอร์สโคด (Source Code)
5.ไม่ขึ้นกับภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง ผู้อื่นสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย
3.จงบอกข้อจำกัดของผังงาน
ตอบ 1.ผู้เขียนโปรแกรมบางคนไม่นิยมเขียนผังงานก่อนการเขียนโปรแกรม
2.ผังงานเป็นการสื่อสารความหมายระหว่างบุคคลกับบุคคลมากกว่าระหว่างบุคคลกับเครื่องเพราะผังงานไม่ขึ้นกับภาษาคอมพิวเตอร์ภาใดภาษาหนึ่ง
3.การพิจารณาผังงานในบางครั้ง จะไม่สามารถทราบได้ว่า ขั้นตอนการทำงานใดสำคัญกว่ากันเพราะทกขั้นตอนจะใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ในลักษณะ
เดียวกัน
4.การเขียนผังงานเป็นการสิ้นเปลือง เพราะจะต้องใช้กระดาษและอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อประกอบการเขียนภาพ
4.จงอธิบายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับผังงานเป็นข้อ ๆ อย่างสั้น ๆ
ตอบ 1.ผังงานหรือโฟลว์ชาร์ต ประกอบขึ้นยจากสัญลักษณ์สำหรับเขียนผังงาน
2.ทิศทางการไหลในผังงาน มีกฎว่าต้องเขียนจากบนลงล่างเเละจากซ้ายไปขวา
3.เส้นแสดงการไหล (Flow Line) อาจตัดกันที่ใดก็ได้
4.กรณีที่เป็นการรวมกันของเส้นที่เเสดงการไหลตั้งเเต่สองเส้นขึ้นไป
5.สัญลักษณ์ที่ใช้จเปลี่ยนรูปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพื่อป้องกันความสับสน
6.คำอธิบายการทำงาน ควรจะให้สั้นและเข้าใจง่าย
7.หากต้องการมีคำอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้นักเขียนโปรเเกรมสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ให้เขียนไว้ด้านขวาบนของสัญลักษณ์ผังงาน
5.จงอธิบายความหมายของสัญลักษณ์ผังงานต่อไปนี้
ตอบ 1. Terminator คือ จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
2.Process คือ การประมวล
3.Preparation คือ สัญลักษณ์การเตรียม
4.Manual Input คือ รับค่าทางแป้นพิมพ์
5.Input/Output คือ รับค่า/แสดงผลโดยไม่ระบุสื่อ
6.Decision คือ สัญลักษณ์การตัดสินใจ
7.Document คือ แสดงผลลัพธ์ทางเครื่องพิมพ์
8.Display คือ แสดงผลลัพธ์ทางจอภาพ
6.ลักษณะการเขียนผังงานที่ดีเป็นอย่างไร บอกมาเป็นข้อ ๆ
ตอบ 1.ทุกผังงานต้องมีจุดเรื่มต้นและจุดสิ้นสุดอย่างละหนึ่งจุดเท่านั้น
2.ทุกสัญลักษณ์ของผังงาน ต้องมีลูกศรชี้ทิศทางเข้าและลูกศรชี้ทิศทางออกอย่างละ 1 ลูกศร
3.สัญลักษณ์จุดเริ่มต้นจะมีเฉพาะลูกศรชี้ทิศทางออก สัญลักษณ์จุดสิ้นสุดมีเฉพาะลูกศรชี้ทิศทางเข้า
4.สญลักษณ์การตัดสินใจมีลูกศรชี้ทิศทางเข้า 1 ทิศทางเเละทิศทางออก 2 ทิศทาง
5.ทิศทางของลำดับขั้นตอนการทำงาน นิยมเขียนจากบนลงล่าง หรือซ้ายไปขวา
6.เส้นลูกศรที่ใช้บอกทิศทางของลำดับขั้นตอนวิธีการทำงาน ไม่ควรเขียนตัดสิน/ทับกับ
7.ไม่ควรเขียนเส้นลูกศร เพื่อทำการเชื่อมโยงลำดับขั้นตอนที่อยู่ห่างกันมาก หากจำเป็นควรใช้สัญลักษณ์จุดต่อเเทน
8.การเขียนผังงานในส่วนของการกำหนดค่าหรือการคำนวณค่า นิยมใช้สัญลักษณ์ลูกศรแทนการเขียนเท่ากับ
7.การเขียนผังงานมีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 2 ชนิด
1.ผังงานระบบ (System Flowchart)
2.ผังงานโปรแกรม(Plogram Flowchart)
8.ผังงานระบบ (System Flowchart) เป็นอย่างไร
ตอบ เป็นผังงานที่เเสดงถึงขั้นตอนการทำงานของระบบงานหนึ่ง ๆเช่น ผังงานระบบบริหารงานวิทยาลัยเเห่งหนึ่ง
9.ผังงานโปรแกรม(Plogram Flowchart)
ตอบ เป็นผังงานที่เเสดงถึงขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม ในส่วนการรับข้อมุล การคำนวณการแสดงผล ว่าในเเต่ละขั้นตอน ใช้คำสั่งอย่างไร
10.ให้ยกตัวอย่างผังงานโปรแกรม 1 ผังงาน
ตอบ เช่นการคำนวณหา เกรดเฉลี่ยของนักเรียนในชั้น เป็นต้น